วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2554

แนะนำดอกไม้ในงานพิเศษ

งานแต่งงาน กับ ดอกไม้ เป็นสิ่งที่ต้องใช้ร่วมกัน สำหรับ เจ้าสาว และ เจ้าบ่าว ที่มองหาไอเดียในการหารูปแบบในการจัดงานแต่งงานโดยใช้่ดอกไม้ มีดอกไม้ที่เป็นที่นิยมในการใช้ในการจัดงานแต่งงานมาแนะนำค่ะ



คาร์เนชั่น ( Carnation )

ดอกไม้จากเมืองจีนที่มีขายทั้งปี ความพิเศษของดอกคาร์เนชัน คือ มีทุกสีให้เลือกใช้งาน ยกเว้น 2 สี คือ สีดำและสีฟ้า สามารถทนอากาศร้อนได้ดี ราคาไม่แพง


รูปหายากอีกเช่นเคยค่ะ
ไลเซนทัส ( Lysianthus )

มีทั้งปีและหลากสี ทั้งม่วงเข้ม ม่วงขลิบขาว ชมพู ชมพูขลิบขาว เหลือง ครีม พีช ขาว และเขียว เลือกแบบกลีบซ้อนหรือกลีบเดี่ยวก็สวย แถมมีให้เลือก 2 เกรด คือ ฮอลแลนด์ และจีน ซึ่งเป็นที่นิยมกว่าเพราะกลีบดอกสวยและทนกว่า จริงๆดอกนี้นำมาติดผมเจ้าสาวก็ได้ค่ะ สวยไปอีกแบบ ^^



The Snowball perennial grows many large balls of flowers.


แถมค่ะแถม ^^
สโนว์บอล ( Snowball )

ดอกไม้ทรงพุ่มที่มีเพียงสีเดียว คือ สีเขียว โชว์ความสวยด้วยวิธีไล่เฉดสีเขียวจากอ่อนไปเข้มที่สวยไร้เทียมทานมีมากช่วง เดือนมีนาคม - พฤษภาคม มีทั้งเกรดฮอลแลนด์ และของจีนซึ่งมีจำนวนช่อดอกต่อกิ่งน้อยกว่าก็จริงแต่ราคาถูกกว่า






แคลลาลิลี่ ( Calla Lily )

หายากในช่วงหน้าฝน มีให้เลือก 2 แบบ คือ พันธุ์หลอดมีเฉพาะสีขาว และ พันธุ์กรวยมีให้เลือกทุกสี ยกเว้นสีฟ้า ส่วนใหญ่นำเข้าจากจีน ถ้านำเข้าจากฮอลแลนด์จะมีราคาแพงกว่า ในช่วงหน้าหนาวจะมีพันธุ์กรวยสีเหลือง ของโครงการหลวง มาขายในราคาไม่แพง
น่านนนน แถมซะเลย ^^
กุหลาบ ( Rose )

มีให้เลือกใช้ได้ทั้งปี หลายเกรดความสวยและมีหลายราคา ของฮอลแลนด์ ดอกสวย ใหญ่ ก้านตรง เฉาเร็ว ของจีนความสวยย่อมลงมาหน่อย ก้านคดเล็กน้อย แต่ทนอากาศร้อนได้ดี
ถ้าเลือกในช่วงเดือนพฤษภาคม-กันยายนอาจถูกกว่านี้

ไฮเดรนเยีย ( Hydrangea )

 ในเดือนพฤษภาคม-กันยายน จะมีเฉพาะดอกไฮเดรนเยียที่ปลูกในเมืองไทย ซึ่งดอกจะเล็กและมีแค่สีฟ้า แต่ถ้าอยากได้ ดอกใหญ่และหลากสีต้องสั่งจากฮอลแลนด์หรือรอจากเมืองจีน ซึ่งจะเริ่มมีเข้ามาขายตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นไป และมีให้เลือกหลายสี ทั้งชมพู เขียว ขาว และม่วง
อีกรูปแล้วกันนะคะ รูปหายากจริงๆ ฮ่าๆ
แวกซ์ฟลาวเวอร์ ( Wax Flower )

ดอกไม้แซมแสนหวานจากประเทศออสเตรเลีย มีหลากสีและรูปทรงให้เลือกออกดอกแทบทั้งปี แต่ช่วงที่สวยที่สุด คือ เดือนมิถุนายน-กันยายน แต่ของจีนก็สวยไม่แพ้กัน


การเลือกดอกไม้ในงานแต่ง การเลือกที่ถูกต้องตามฤดูกาล นอกจากจะหาง่ายแล้ว ยังทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ในวันงานแต่งงานของคู่บ่าวสาวอีกด้วย ทำให้มีงบประมาณไปตกแต่งเพิ่มเติม หรือ นำไปเพิ่มในส่วนอื่นได้อีกด้วย แต่ถ้าเราเลือกดอกไม้ที่หายากในเวลานั้นๆ จะทำให้มีราคาแพง และ อาจไม่เพียงพอในการใช้ตกแต่งงานแต่งของคุณก็เป็นได้ค่ะ

ลิลี่ ( Lily )

เป็นดอกไม้ที่ปลูกได้ในเมืองไทย ทำให้มีใช้กันได้ทั้งปี แถมสวยกว่าดอกลิลี่ ของเมืองจีนเพราะของไทยมีสีขาวกว่า ส่วนสีชมพูก็สดใสกว่า และที่สำคัญ ดอกใหญ่กว่า
แวนด้าและซิมบิเดียม ( Vanda & Cymbidium )

ดอกไม้ตระกูลกล้วยไม้ที่มีให้เลือกใช้กันได้ทั้งปี แวนด้ามีสีให้เลือกหลากหลาย ราคาไม่แพง  ส่วนซิมบิเดียมเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับใช้แทนดอกคัทลียาที่หาไม่ได้ในช่วงหน้าร้อน เพราะถึงแม้ดอกจะเล็กกว่า แต่สวยและทนกว่ามากในขณะที่ราคาพอๆกัน

โพสรูปดอกไม้สวยๆ


เริ่มที่ไฮเดรนเยียกันก่อนเลยค่ะ ^^



ตามมาด้วยดอกกุหลาบสีม่วง ของแท้นะคะ ไม่ตกแต่งทำสีพ่นสีใส่สีตีไข่แน่นอนค่ะ ^^



คาร์เนชั่นค่ะ สวยเนอะ ^^



ตามมาด้วยดอกลิลลี่ค่ะ ^^



แคลล่าลิลลี่ค่ะ ^^

วิธีการปลูกไฮยาซินธ์

และดอกไฮยาซินธ์ปิดท้ายค่ะ ^^


ถ้าสนใจอยากได้รูปสวยๆบอกกันได้นะคะ

ความหมายของดอกไม้

              เพื่อนๆรู้ไหม ? การที่เราจะสื่อความรู้สึก ห่วง รัก หรืออะไรก็ตามแต่ ที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ เราก็ใช้ดอกไม้เนี่ยแหละ เป็นสื่อกลางคอยส่งผ่านความรู้สึกค่ะ ดอกไม้น่ะสามารถสื่อความรุ้สึกต่างๆได้มากมาย วันนี้ฉันจะมาแนะนำความหมายของดอกไม้แต่ล่ะชนิดค่ะ ^^




กุหลาบ : คือสื่อของความรักแท้ (แดง ชมพู) ความบริสุทธิใจ (สีขาว ) ความภักดีและซื่อสัตย์ (สีเหลือง)
กลาดิโอลัส : บุคลิกที่เข้มแข็ง
คาร์เนชั่นแดง : ความอนิจจา การมอบดวงใจฉัน
ดอกอัลมอนด์ : ความหวัง
ดอกแอ๊ปเปิ้ล : มอบให้กับบุคคลที่ชอบเป็นพิเศษ
ดาวเรือง : ความรุ่งเรือง
ดอกส้ม : ใช้ในงานแต่งงาน ความเยาวัย ที่แสนหวาน
เดซี่ : แสดงถึงความบริสุทธิ์ใจต่อกัน
แดฟโฟดิล : ความรำลึกถึง และคิดถึง
ดอกรัก : หมายถึงเจ้าบ่าวและเจ้าสาว
ทานตะวัน : การให้ความเคารพต่อผู้ที่เรานับถือ เป็นดอกไม้ของความหวัง ให้ความหวังนั้นประสบความสำเร็จ
ทิวลิปแดง : การบอกรักให้ฝ่ายตรงข้าม
ทิวลิปสลับสี : บอกว่าดวงตาท่านมีเสน่ห์ งดงาม
ทิวลิปสีเหลือง : ถือว่าการหมดหวังในเรื่องความรัก
นาร์ซิสซัส : แสดงถึงความหลงตัวเอง
บัตเตอร์คัพ : แสดงถึงความไร้เดียงสา
ป๊อปxxxสีแดง : ให้ความอุ่นใจ หรือปลอบโยน
เปปเปอร์มินท์ : ให้ความรู้สึกอบอุ่นทางใจ
พริมโรส : แสดงถึงความร่าเริง ความเป็นหนุ่มเป็นสาว
พุดซ้อน : ความรักอันสมบูรณ์ยิ่งยืนนาน
ฟอร์เก็ต มี นอต : แสดงถึงความรักแท้และจริงใจ
แพนซี่ : แสดงถึงความคิดถึงจากใจ
มะลิขาว : ความอ่อนโยน
มะลิเหลือง : แสดงถึงความสง่างาม
ลำดวน : ความเบิกบานแจ่มใส
หญ้าหอม : แสดงถึงการให้กำลังใจเมื่อมีความทุกข์
อะคาเซียสีชมพู : ความเป็นผู้ดี ความสง่างาม
ไอริส : แสดงถึงการมีความในใจที่จะบอก
ไอวี่ : แสดงถึงความจงรักภักดี
ฮอลลีฮอด : แสดงถึงความทะเยอทะยาน
ไฮยาซินธ์ : แสดงถึงเรื่อการบันเทิง การละเล่น ความเบิกบานใจ

รู้อย่างนี้แล้ว เพื่อนๆก็สามารถนำความรู้นี้ไปใช้ได้เลยนะคะ หากยังไม่กล้าบอกอะไรกับใครล่ะก็ ฮะๆ ^^

วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554

TOP !!! 10 อันดับ ดอกไม้อันตรายที่สุดในโลก!!!!

               TOP !!! 10 อันดับ ดอกไม้อันตรายที่สุดในโลก!!!!  0[]0\!!! [มันก็ตกใจเว่อร์เกิน]

อันดับ 10 Narcissus

ดอกนาร์ซิสซัสนี้ ว่ากันว่า มีพิษร้ายแรงมากมาย
มีหลายคนที่สับสนแยกไม่ออกระหว่างดอกไม้นี้กับหัวหอม
แต่ถ้ากินเข้าไปแล้วล่ะก็ เจอดีแน่
ทั้งอาการคลื่นไส้ อาเจียน และท้องร่วงอย่างแรง


อันดับ 9 Rhododendron

เราก็ไม่แน่ใจชื่อภาษาไทยของมันเหมือนกัน
เพราะงั้น เราใช้ชื่อเต็มของมันดีกว่า เกิดอ่านผิดจะแย่ทีเดียว
ต้นไม้นี้มีดอกที่สวย รูปทรงเหมือนกระดิ่ง และจะงอกงามมากในฤดูใบไม้ผลิ
แต่ว่าใบของมันมีพิษร้ายเช่นเดียวกับน้ำหวาน
ถ้าเผลอกินเข้าไป อาจทำให้ริมฝีปากไหม้ได้
จากนั้นก็จะคลื่นไส้ อาเจียน หัวใจเต้นเร็ว
ถ้าหากว่าเผลอกินเข้าไป ให้รีบดื่มน้ำตามมากๆ จะช่วยได้

อันดับ 8 Ficus


ไฟคัส ต้นไม้เล็กๆ ที่มีใบเล็ก และมียางที่มีพิษเหลือร้าย
มันสามารถเติบโตได้หลากหลายที่ แม้แต่ในหม้อเก่าๆก็โตได้
ถ้าหากว่ายางของมันโดนผิวเข้าล่ะก็ จะเจ็บปวดมากทีเดียว
และต้องไปหาหมอเพื่อขอยาทาแก้ปวดแสบปวดร้อน


อันดับ 7 Oleander


ทุกส่วนของต้นไม้นี้เป็นพิษหมด
แค่เผลอสูดควันที่เราเผามันเข้าไป ก็เจออันตรายแล้ว
ถ้าเผลอกินเข้าไปล่ะก็ จะเป็นอันตรายต่อหัวใจและระดับโพแทสเซียมในร่างกายได้

อันดับ 6 Chrysanthemum



โอ้! ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ดอกเบญจมาศจะติดอันดับกับเขาด้วย
แต่ว่าดอกไม้นี้มีมากกว่า 200 ชนิดในสปีชี่ส์เดียว
เพราะงั้นก็ไม่แปลกที่บางชนิดจะมีพิษร้าย
ถ้าอยากรู้ว่าดอกเบญจมาศชนิดไหนมีพิษ
เค้าว่าให้ดูที่กระต่าย เพราะมันจะไม่กล้าเข้ามากิน
แต่ถ้าโดนเข้าไป อาจจะทำให้ผิวหนังไหม้ และต้องหายาทา



อันดับ 5 Anthurium


ถ้าหากว่า เผลอแตะโดนบริเวณไหนของผิวหนังล่ะก็ เสร็จแน่
ดอกไม้นี้ จะทำให้ร่างกายของคุณไหม้
ยิ่งถ้าโดนปากนี่ แย่ที่สุดเลย
หรือถ้ากินเข้าไปนี่ จะทำให้เสียงแหบเสียงแห้ง พูดไม่ได้ยินไปสักพักเลยล่ะ

อันดับ 4 Lily-of-the-valley
.
ว้าว! ชื่อเพราะจังเลย ดอกลิลลี่แห่งหุบเขาเนี่ย
แต่ติดอันดับสี่ได้ เชื่อว่าต้องอันตรายแน่ๆ
เค้าว่า ถ้ากินเข้าไปแล้ว หัวใจจะเต้นแรง คลื่นไส้ อาเจียน
บางคนที่กินมากๆ อาจจะเจอล้างท้องได้นะ


อันดับ 3 Hydrangea


อะไรกัน ไฮเดรนเยียออกจะสวยเนอะ
แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่า จะมีอันตรายด้วย
มันสวยก็จริง แต่ถ้ากินเข้าไปล่ะก็
จะเนื้อตัวเย็นเฉียบ ครั่นเนื้อครั่นตัว คลื่นไส้ อยากจะอาเจียน
บางคน อาจจะเกิดอาการช็อคได้เลยด้วยซ้ำไป
เพราะงั้น ดูแต่ตา มืออย่าต้อง นะจ๊ะ



อันดับ 2 Foxglove



ดอกไม้สูงแค่สามฟุต สีสวยงามนี่แหละ อันตรายดีทีเดียว
แน่นอนว่า จะทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องมาก
และปากไหม้ด้วย ถ้ากินเข้าไปนะ
บางคนก็จะทำให้อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ
ว่ากันว่า มันฆ่ากระต่ายได้เลยล่ะ


อันดับ 1 Wisteria



ชื่อต้นไม้นี้ แปลกทีเดียวเชียว
แต่ก็นั่นแหละ เค้าบอกว่า ถ้าเผลอกินเข้าไปเมื่อไหร่
ท้องร่วง ท้องเสีย อาเจียน ปวดหัว เป็นไข้ วิงเวียนแน่
และถ้าไปโรงพยาบาลไม่ทัน อาจจะช็อคแหงแก๋ได้เหมือน

ดอกเอื้องแซะ

ดอกเอื้องแซะ




 มีเรื่องเล่าขานเป๋นต๋ำนานของคนหนุ่มคนสาว ที่เฝ้าบ่มฮักและอยู่ในฮีตในฮอย หวังก่อร่างสร้างตั๋ว เข้าของเงินทองจ่งไจ้เขียมนักอีนางเฮย ปี้อ้ายขอลาไกล๋ไปแสวงหาเงินทองของหมั้น แล้วจะฝั้งปิ๊กมาหา ยกยอเอาสูเจ้าเป็นเมียนางจ้างแก้วสาวเจ้าหันดีหันงาม เข้าใจ๋ในเหตุในผล… “ไปเต๊อะปี้อ้ายเหย ข้าเจ้าจะรอ”…จากวันเป๋นเดือน จากเดือนล่วงเลยเป๋นหล๋ายปี๋ ปี้อ้ายคนดี ห่างหาย บ่ามีข่าวมีคราว แต่ด้วยใจ๋ตี่บริสุทธิ์และเปี่ยมด้วยศรัทธา ยึดมั่นถือมั่นในความฮักของสาวเจ้าแม้แต่ปล๋ายก้อย ก็บ่เกยคิดฮ้าย ว่าปี้อ้ายคนดีจะนอกใจ๋ หรือล้มหายต๋ายจาก รอคอยด้วยใจ๋พิสุทธิ์ ยกมือไหว้สาผาธนาคุณผะเจ้า ช่วยชี้แนะนำตาง หื้อปี้อ้ายได้ปิ๊กคืน…
 จ๋นถึงวันเวลาที่นางต้องลาละสังขาร จิตวิญญาณยังผูกพันรอคอย ต๋ายไปแล้ว กล๋ายเป็นหมอกควันไปเกาะ ห่อหุ้ม แฝงจิตอยู่กับต้นดอกเอื้องแซะ เป๋นขนปุยห่อหุ้มกิ่งก้าน ยามเอื้องแซะดอกน้อยบาน กลิ่นหอมอ่อน ๆ จะลอยมาต๋ามลม เหมือนจะได้มาเหน็บแซมเสียบผมยามลมเดือนห้า

เอื้องแซะงามนัก ดอกน้อยสีขาวเรื่อเหลืองอยู่สูงและเป็นของสูงก้าแปงเมืองหายากยิ่งนัก กลิ่นก่อห้อม..ต้องใจ๋ จาวลัวะแต่โบราณนำเอามาเป็นเครื่องบรรณาการถวายแด่เจ้าครองเมือง คนต่ำใต้ลุ่มฟ้า อย่าหมายว่าจะได้ชมอ. มาลา คำจันทร์ ปราชญ์ล้านนา และกวีซีไรต์ ได้กล่าวถึงความสำคัญของเอื้องแซะที่มีต่อวิถีชีวิตของคนล้านนา ว่า ดอกเอื้องแซะนั้นเป็นของสูง หายาก ต้องใช้ความพยายาม นาน ๆ ถึงจะได้เห็น ดังในสมัย รัชกาลที่ 7 เสด็จประพาสเมืองเชียงใหม่ ชาวลัวะชาวดอย ต่างไปหา เอื้องแซะมาถวาย เพราะเป็นเอื้องที่มีกลิ่นหอมนาน ไม่เหมือนเอื้องทั่วไป

นอกจากนี้แล้วเอื้องแซะยังเคยใช้เป็นเครื่องบรรณาการ ระหว่างแม่ฮ่องสอนสู่เมืองเชียงใหม่ และเป็นเครื่องบรรณาการของล้านนาเพื่อมอบให้แก่กรุงรัตนโกสินทร์ ดังนั้นเอื้องแซะจึงเป็นสัญลักษณ์ที่ลึกลับ มีเสน่ห์ เป็นดอกไม้ต้องห้าม เป็นของสูงบนภูสูง.


 มีเรื่องเล่าขานเป๋นต๋ำนานของคนหนุ่มคนสาว ที่เฝ้าบ่มฮักและอยู่ในฮีตในฮอย หวังก่อร่างสร้างตั๋ว เข้าของเงินทองจ่งไจ้เขียมนักอีนางเฮย ปี้อ้ายขอลาไกล๋ไปแสวงหาเงินทองของหมั้น แล้วจะฝั้งปิ๊กมาหา ยกยอเอาสูเจ้าเป็นเมียนางจ้างแก้วสาวเจ้าหันดีหันงาม เข้าใจ๋ในเหตุในผล… “ไปเต๊อะปี้อ้ายเหย ข้าเจ้าจะรอ”…จากวันเป๋นเดือน จากเดือนล่วงเลยเป๋นหล๋ายปี๋ ปี้อ้ายคนดี ห่างหาย บ่ามีข่าวมีคราว แต่ด้วยใจ๋ตี่บริสุทธิ์และเปี่ยมด้วยศรัทธา ยึดมั่นถือมั่นในความฮักของสาวเจ้าแม้แต่ปล๋ายก้อย ก็บ่เกยคิดฮ้าย ว่าปี้อ้ายคนดีจะนอกใจ๋ หรือล้มหายต๋ายจาก รอคอยด้วยใจ๋พิสุทธิ์ ยกมือไหว้สาผาธนาคุณผะเจ้า ช่วยชี้แนะนำตาง หื้อปี้อ้ายได้ปิ๊กคืน…
 จ๋นถึงวันเวลาที่นางต้องลาละสังขาร จิตวิญญาณยังผูกพันรอคอย ต๋ายไปแล้ว กล๋ายเป็นหมอกควันไปเกาะ ห่อหุ้ม แฝงจิตอยู่กับต้นดอกเอื้องแซะ เป๋นขนปุยห่อหุ้มกิ่งก้าน ยามเอื้องแซะดอกน้อยบาน กลิ่นหอมอ่อน ๆ จะลอยมาต๋ามลม เหมือนจะได้มาเหน็บแซมเสียบผมยามลมเดือนห้า

เอื้องแซะงามนัก ดอกน้อยสีขาวเรื่อเหลืองอยู่สูงและเป็นของสูงก้าแปงเมืองหายากยิ่งนัก กลิ่นก่อห้อม..ต้องใจ๋ จาวลัวะแต่โบราณนำเอามาเป็นเครื่องบรรณาการถวายแด่เจ้าครองเมือง คนต่ำใต้ลุ่มฟ้า อย่าหมายว่าจะได้ชมอ. มาลา คำจันทร์ ปราชญ์ล้านนา และกวีซีไรต์ ได้กล่าวถึงความสำคัญของเอื้องแซะที่มีต่อวิถีชีวิตของคนล้านนา ว่า ดอกเอื้องแซะนั้นเป็นของสูง หายาก ต้องใช้ความพยายาม นาน ๆ ถึงจะได้เห็น ดังในสมัย รัชกาลที่ 7 เสด็จประพาสเมืองเชียงใหม่ ชาวลัวะชาวดอย ต่างไปหา เอื้องแซะมาถวาย เพราะเป็นเอื้องที่มีกลิ่นหอมนาน ไม่เหมือนเอื้องทั่วไป

นอกจากนี้แล้วเอื้องแซะยังเคยใช้เป็นเครื่องบรรณาการ ระหว่างแม่ฮ่องสอนสู่เมืองเชียงใหม่ และเป็นเครื่องบรรณาการของล้านนาเพื่อมอบให้แก่กรุงรัตนโกสินทร์ ดังนั้นเอื้องแซะจึงเป็นสัญลักษณ์ที่ลึกลับ มีเสน่ห์ เป็นดอกไม้ต้องห้าม เป็นของสูงบนภูสูง.



ดอกฟอร์เก็ตมีน๊อต For get me not

ดอกฟอร์เก็ตมีน๊อต For get me not


ตำนานดอก Forget-Me-Not "อย่าลืมฉัน"



ดอกไม้ชนิดนี้มีตำนานเกี่ยวข้องกับความทรงจำเกี่ยวกับความรัก…
ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วในฝรั่งเศส ในสมัยของอัศวินเสื้อเกราะและนางใน อัศวินผู้กล้าหาญ ได้เดินชมจันทร์กับสาวงามนางหนึ่ง ณ ริมฝั่งแม่น้ำ ยอดหญิงของอัศวินได้มองเห็นดอกไม้เล็กๆขึ้นอยู่ริมตลิ่ง เธอวิงวอนให้เขาลงไปเก็บให้ แต่ขณะที่เขากำลังเอื้อมเก็บดอกไม้ก็พลันลื่นไถลลงไปในแม่น้ำ เสื้อเกราะที่หนักทำให้เขาไม่สามารถว่ายน้ำได้ แต่ก่อนที่เขาจะจมหายไปในกระแสธาร เขาโยนดอกไม้ให้หญิงคนรัก และร้องตะโกนว่า "Ne m'oubliez pas"..อย่าลืมฉัน ดอกไม้ชนิดนี้จึงมีชื่อว่า forget me not ดอกฟอร์เก็ตมีน็อทยังมีความหมายว่ารักแท้ จึงมักปรากฏอยู่เสมอบนการ์ดวาเลนไทน์ที่คู่รักหนุ่มสาวมอบให้แก่กัน

ดอกดาหลา

ดอกดาหลา


ตำนานดอกดาหลา "เรื่องเศร้าๆของรักต่างศาสนา"

เรื่องราวความรักต่างศาสนาทราบว่าเป็นตำนานของคู่รักต่างศาสนา ระหว่างชายไทยกับสาวงาม มาเล (อิสลาม)ทั้งสองพบกัน ตอนที่หนุ่มไทยข้ามไปทำงานยัง ประเทศมาเล และเกิดความรักกับสาวมาเล

แต่ด้วยความที่ต่างกัน ทางศาสนา พ่อแม่จึงมิให้คบหากัน ถึงแม้จะถูกกีดกันระหว่างพ่อแม่แต่นางก็มั้นในรักต่อชายไทย นางมิยอมเป็นของชายใดนอกจากชายที่นางรัก แต่แล้วมีเหตูให้ต้องพรัดพรากแยกจากกัน คือชายไทยนั้นต้องกลับมายังประเทศของตน ก่อนจะจากกันก็สัญญากันไว้ว่าจะกลับมาหาสาวมาเลที่บริเวณชายแดน

นางก็รอแม้ระยะเวลาจะนานแค่ใหนนางก็ยังรอที่ชายแดนมาเล รอการกลับมาของเขารอด้วยความหวังลิบหรีก่อนที่นางจะตรอมใจตายนางก็ยังมารอที่ชายแดนมาเล

ระหว่างที่รอคอย เธอก็อธิฐานว่าหากเกิดอีกชาติให้เกิดมาเป็นดอกดาหลาที่ขึ้นอยู่ตามชายแดนมาเล เพื่อรอหนุ่มคนรักกลับมา

ดอกเบญจมาศ

ดอกเบญจมาศ



ตำนานดอกเบญจมาศ
ในญี่ปุ่นมีเรื่องเล่าของ “ดอกเบญจมาศ” ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ “คิกุโนะ” กับสามีของเธอรักกันมาก แต่สามีเป็นคนขี้โรคป่วยกระเสาะกระแสะตลอดเวลา วันหนึ่งคุณหมอก็แจ้งข่าวร้ายว่าสามีของเธอคงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงเดือนเดียว คิกุโนะได้ฟังก็เสียใจ รีบวิ่งไปอธิษฐานกับพระในศาลเจ้าขอให้สามีของเธอมีชีวิตยืนยาวกว่านั้น จากนั้นเธอก็เผลอหลับและฝันไป ในความฝันมีคนแก่คนหนึ่งมาบอกคิกุโนะว่าถ้าหาดอกไม้มาบูชาเทพเจ้าได้มากกลีบเท่าไหร่ ท่านก็จะให้สามีของเธออยู่ไปนานปีเท่ากับจำนวนกลีบของดอกไม้นั้น เมื่อตื่นขึ้นมาคิกุโนะจึงออกตามหาดอกไม้ที่มีกลีบมากๆ แต่ไม่มีดอกไหนเลยที่มีจำนวนกลีบมากเท่าที่เธอต้องการ ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจเอาดอกไม้ที่มีกลีบมากที่สุดมากรีดให้แต่ละกลีบเป็นฝอยยาวจนกลายเป็นดอกไม้ที่มีกลีบนับไม่ถ้วน แล้วเอาไปถวายเทพเจ้า เทพเจ้าเห็นความตั้งใจจริงของคิกุโนะจึงบันดาลให้สามีของเธอหายจากโรคร้าย อยู่กับเธอไปจนแก่เฒ่า ดอกไม้ที่คิกุโนะทำขึ้นจึงถูกตั้งชื่อว่า “ดอกคิกุโนะ” หรือ “ดอกเบญจมาศ” ในภาษาไทย หมายถึง ความจริงใจและแสงสว่างแห่งความหวัง

ดอกซากุระ

ดอกซากุระ

ซากุระ


"ซากุระ" มาจากคำเก่าแก่สองคำ คือ "ซา" หมายถึง วิญญาณแห่งพืชพันธุ์  และ  "กุระ" หมายถึง
ที่ประทับของเทพเจ้า ดังนั้นคำว่า
"ซากุระ" จึงหมายถึง
ที่สถิตของจิตวิญญาณแห่งพืชพันธุ์ทั้งปวง
ในแง่ของตำนาน ซากุระเกิดขึ้นมาเพราะเทวนารีองค์หนึ่ง คือ โคโนะฮานะ ซากุยะ ฮิเมะ เชื่อกันว่า พระนางเป็นผู้ริเริ่มปลูกซากุระขึ้นเป็นครั้งแรก จึงได้ชื่อตามพระนามของนาง


โคโนะฮานะ ซากุยะ ฮิเมะ เป็นธิดาของโอโฮยามัทซูมิ เทพแห่งภูเขา วันหนึ่งพระนางได้พบเทพนินิงิที่ชายทะเล และตกหลุมรักซึ่งกันและกัน เทพนินิงิทูลขอเทพโอโฮยามัทซูมิเพื่อขอนางมาเป็นชายา ในตอนแรก เทพโอโฮยามัทซูมิได้เสนอธิดาอีกพระองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นเทพีแห่งก้อนหินมาเป็นคู่สยุมพรแทน แต่เทพนินิงิไม่ยอม  พระองค์ยังยืนกรานในรักมั่นที่มีต่อเทวี แห่งซากุระ ในที่สุดจึงได้วิวาห์ดังที่ปรารถนา
หลังอภิเษกได้เพียงวันเดียวเทพีโคโนะฮานะ ซากุยะ ฮิเมะก็ทรงครรภ์ เทพโอโฮยามัทซูมิทรงคลางแคลงพระทัยว่าบุตรในท้องไปลูกของพระองค์จริงหรือไม่
การที่เทพีโคโนะฮานะ ซากุยะ ฮิเมะ ได้กำเนิดโอรสในกองเพลิงนี่เอง ทำให้ชาวบ้านเชื่อกันว่า พระนางควบคุมไฟได้ เลยก็เลยมีการสร้างศาลบูชาพระนางขึ้นที่ตีนภูเขาไฟฟูจิในปี ค.ศ.806 ด้วยความหวังว่า พระนางจะช่วยไม่ให้ภูเขาไฟพิโรธ ทำให้ประชาชนเดือดร้อน พระนางจึงกลายเป็นเทพีแห่งภูเขาไฟฟูจิด้วย จนถึงทุกวันนี้ ผู้ที่ไปเยือนภูเขาไฟฟูจิมักจะแวะไปศักการะศาลของพระนางและเชื่อกันอีกอย่างว่า
เมล็ดพันธุ์ของต้นซากุระที่พระนางนำมาปลูกเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นนั้น ก็มาจากภูเขาไฟฟูจิซึ่งพระองค์ดูแลอยู่นี่เอง
นอกจากนั้น พระนางยังเป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ ความปลอดภัยในบ้านและเปลี่ยนโชคร้ายให้กลายเป็นดี ให้ผู้คนได้ตามที่หัวใจปรารถนาด้วย

ดอกโสน

 ดอกโสน [สะ-โหน]


    เก็บเอาเรื่องราวของดอกโสนมาลงบ้างเดี๋ยวไม่ทันการ เพราะมันเริ่มทยอยโรยลาลงไปในสัปดาห์ที่แล้ว ตามสายลมหนาวที่พัดมา และจะหายไปจากท้องทุ่งในเร็ววันนี้ จากนี้ไปภาพท้องทุ่งที่เคยพบดอกโสนบานสะพรั่งเต็มไปหมดในช่วงฝนชุก ดังเช่นดือนสองเดือนที่ผ่านมาก็จะหายไปเป็นความทรงจำอีกครั้งหนึ่ง
     บ้านหลังน้อยของผมที่นครนายก บ้านที่ผมจะใช้เป็นที่พักกายและใจในวันหยุด รอบๆบ้านยังเป็นทุ่ง ตื่นมาตอนเช้าผมจะนั่งจิบกาแฟร้อนๆ มองไปในทุ่งเห็นสีเหลืองของดอกโสนพราวไปหมดในช่วงกลางฤดูฝน เป็นภาพที่ผมมองผมชอบมากๆ อย่างกับสีเหลืองของพ่อแม่พี่น้องในทำเนียบ(นอกเรื่องจนได้)
     " แม่ดอกโสนบานเช้า พ่อดอกสะเดาบานเย็น " เป็นเพลงที่ติดหูผมมาตั้งแต่เด็ก จนโตประโยคที่ว่าก็ยังฝังจำอยู่ในหัว "แม่ดอกโสนบานเช้า" แต่เชื่อไหมครับว่าผมไม่เคยเห็นดอกโสนบานเช้าเลยเห็นแต่มันบานตอนเย็นหรือตั้งแต่ช่วงบ่ายๆเป็นต้นไป เพลงก็ทำให้เราเข้าใจผิดได้เหมือนกันนะครับ
     ดังนั้นคำว่า"แม่ดอกโสนบานเช้า"น่าจะเป็นประโยคเปรียบเปรยมากกว่า คงจะหมายถึง ผู้หญิงที่ไม่เหมือนผู้หญิงทั่วๆไปมังครับ เช่นเดียวกับพ่อดอกสะเดาบานเย็น ซึ่งเท่าที่รู้ ดอกสะเดาก็จะไม่บานเย็นเช่นกัน แต่บานตอนเช้า

ดอกชบา

  ดอกชบา


ในอินเดียสมัยโบราณ เล่าขานกันว่าทั้งผู้หญิงและผู้ชายนิยมสวมสร้อยคอลูกปัดกันอย่างแพร่หลาย วันหนึ่งมีหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานเสียชีวิตลง
      ในขณะที่เตรียมพิธีเผาศพอยู่นั้น พ่อแม่ก็ได้นำเสื้อผ้า เครื่องประดับและสร้อยคอลูกปัดของลูกสาวใส่ลงไปในกองไฟด้วย
      หลังจากเปลวไฟดับลง ได้ปรากฏสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นมา คือ มีดอกไม้ต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากเครื่องประดับของหญิงสาวผู้นั้น
      ปิ่นปักผม กลายเป็น ดอกกุหลาบ และ สร้อยลูกปัด กลายเป็น ดอกชบา
     คืนนั้นหญิงสาวได้มาเข้าฝันน้องสาวว่า ดอกไม้ที่เกิดจากสร้อยลูกปัดที่ฉันสวมนั้น ให้ทำเป็นพวงมาลัยถวายเทพเจ้า
      นิทาน เป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมา แม้จะเชื่อถือไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็มีเงื่อนงำให้คิดไปได้ว่ามีการใช้ดอกชบาร้อยเป็นพวงมาลัยถวายเทพเจ้าในชุมชนของอินเดียมาช้านาน
     ตามความเชื่อในลัทธิฮินดู "ชบา" เป็นดอกไม้ประจำพระองค์ของเจ้าแม่กาลี  ซึ่งเป็นภาคดุร้ายของพระอุมา ชายาของพระศิวะ ในการทรงสนานเทวรูปของเจ้าแม่กาลีทุกครั้ง จะมีดอกชบา หญ้าแพรก และใบมะตูม ไม้มงคลลอยอยู่ในน้ำนั้น
     ด้วยความที่เจ้าแม่กาลี เป็นเทพสตรีในภาคดุร้ายนี่เอง ดอกชบาจึงนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ของพิธีที่น่ากลัวและน่าหวาดเสียวพิธีหนึ่ง นั่นก็คือ เขาจะใช้พวงมาลัยดอกชบาคล้องคอนักโทษที่กำลังจะถูกประหารชีวิต !
       คนไทยเราได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมอินเดียมามากมาย รวมทั้งธรรมเนียมการทัดดอกชบาให้กับนักโทษประหารด้วย  โดยเฉพาะในกรณีชู้สาว การลงโทษจะเป็นเรื่องเอิกเกริกมาก เช่น
      ถ้าปรากฏว่าหญิงคนใดนอกใจสามี เมื่อพิจารณาเป็นสัตย์จริงแล้วท่านให้ประจานหญิงและชายชู้นั้น ด้วยการเอาเฉลวปะหน้าผู้หญิง และให้ทัดดอกชบาทั้งสองหู นอกจากนี้ยังต้องสวมพวงมาลัยดอกชบาสีแดง จากนั้นนำผู้หญิงกับชายชู้มาเทียมแอกแทนควายคนละข้าง แล้วให้ไถนาเป็นการประจาน 3 วัน
       แต่ถ้าชายผู้เป็นสามีมีความสงสารภรรยาอยู่ ก็จะต้องเข้าไปเทียมแอกแทนชายชู้ แล้วไถนาไปลำพังกับภรรยา ส่วนชายชู้ให้ปล่อยไป อย่าให้ปรับไหมแต่อย่างใดเลย
     แต่ละท้องถิ่นต่างมีประเพณีและความเชื่อที่ต่างกัน สาวๆ บาหลีนิยมทัดดอกชบา เช่นเดียวกับสาวๆ ฮาวายที่ไม่เคยห่างจากดอกชบา
      และ ดอกชบา นี่เองเป็นดอกไม้ประจำจังหวัด ปัตตานี
     เป็น ดอกไม้ประจำชาติของ มาเลเซีย มีชื่อเรียกเป็นภาษามลายูที่ไพเราะว่า บุหงารายา
       หากต้นกำเนิดของ ดอกชบา หรือ  Shoe flower  มีชื่อวิทยาศาสตร์ Hibiscus spp.ซึ่งเป็นไม้พุ่มเตี้ย มีสีต่างๆ กัน เช่น สีแดง สีเหลือง สีขาว สีชมพู สีงาช้าง มีทั้งดอกโตและดอกเล็ก ใบเป็นใบเดี่ยว รูปมน ขอบใบเป็นรอยหยัก ปลายใบแหลม นี้
        มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน นักพฤกษศาสตร์สันนิษฐานว่า ชบาน่าจะมาจากจีนเมื่อครั้งสุโขทัย เพราะมีข้อสังเกตว่า ในสมัยสุโขทัยมีทั้งชบาและชบาเทศ แต่ชื่อ "ชบา" นี้ ไม่น่าจะเป็นจีนตรงไหน จีนแต้จิ๋วเรียก ชบา ว่า "ชัดเท่าฮวย" ชื่อชบาจึงน่าจะมาจากอินเดียมากกว่า เพราะชบา มาจากคำว่า ชป (ชะปะ) ในภาษาสันสกฤต ซึ่งแปลว่ากุหลาบจีน
      ฤดูร้อนนี้..เป็นฤดูกาลที่ "แฟชั่นดอกชบา" กำลังเบ่งบานอีกครั้ง ดอกชบาสีสวย ที่มีโครงสร้างงามราวกับงานศิลปะ เมื่อมาอยู่กับท้องทะเลสีฟ้าใส ใต้ท้องฟ้ากว้างไกล ช่างเป็นสีสรรพ์ที่น่าอภิรมย์ยิ่งนัก
       ขอจบนิทานด้วยบทกลอนที่พรรณนาถึงนานาพันธุ์ดอกไม้ไทย จากรามเกียรติ์ตอน พระรามลาสระภังคฤาษ พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1
      พุทธชาดรักซ้อนซ่อนกลิ่น               อินทนิลช้องนางนางคลี่
      นางแย้มกล้วยไม้มะลุลี                     ยี่สุ่นโยทะกาชบาบาน
      กรรณิการ์เกดแก้วกาหลง                  ประยงค์พะยอมหอมหวาน
      ชมพลางเด็ดดวงผากาญจน์               พระอวตารส่งให้วนิดา

ดอกไฮยาซินธ์

ดอกไฮยาซินธ์


เจ้าของตำนานนี้ก็คือ ไฮยาซินทัส ที่เป็นเพื่อนสนิทของ เทพอะพอลโล (เทพแห่งดวงอาทิตย์) นอกจากเทพอะพอลโลแล้ว ไฮยาซินทัสก็ยังมีเพื่อนสนิทอีกคนนึงที่ชื่อ เซฟไฟรัส (เทพประจำลมตะวันตก...ลมที่พัดให้คู่รักมาเจอกัน...ฮิ้ว...)
ทีนี้ไปๆมาๆ เซฟไฟรัสเกิดอิจฉาที่เทพอะพอลโลและโกรธไฮยาซินทัสที่สนิทสนมกับเทพอะพอลโลมากกว่าตนเอง
ดังนั้น วันนึง เทพอะพอลโลกับไฮยาซินทัสกำลังเล่นทอยห่วงเหล็กกันอยู่ (มันเล่นยังไง อย่าถาม...ไม่รู้เหมือนกัน...) เซฟไฟรัสก็แกล้งเป่าห่วงเหล็กของเทพอะพอลโลให้ไปกระแทกไฮยาซินทัสอย่างจัง!!!
ฝ่ายไฮยาซินทัสทนพิษบาดแผลไม่ไหว สิ้นใจตายตรงนั้นเอง...
อะพอลโลรู้สึกเศร้าเสียใจมาก จึงบันดาลให้กองเลือดของไฮยาซินทัสกลายเป็นกอดอกไม้ที่มีชื่อว่า ไฮยาซินธ์ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา...
***การให้ดอกไฮยาซินธ์กับใคร มีความหมายโดยนัยว่า "ยกโทษให้ชั้นเถอะน
ะ"





ดอกไฮยาซินธ์ (อังกฤษ: Hyacinth) เป็นดอกไม้ตระกูลที่ปลูกจากหัว (bulbous plants) เดิมจัดอยู่ในวงศ์ลิลลี่ (Liliaceae) แต่ในปัจจุบันถือว่าเป็นตระกูลอิสระของตนเอง “Hyacinthaceae”[1] เป็นดอกไม้ที่มาจากทางตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเรื่อยไปทางตะวันออกจนถึงอิหร่านและเติร์กเมนิสถาน

วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2554

ดอกลิลลี่

  ดอกลิลลี่


ลิลลี่ (Lily, Lilium hybrids) เป็นไม้ดอกประเภทหัว มีดอกขนาดใหญ่เป็นสง่าและสวยงามมาก บางชนิดมีกลิ่นหอมมาก นับว่าเป็นดอกไม้ที่มีราคาแพงที่สุดในปัจจุบัน ใช้ได้ทั้งเป็นไม้ตัดดอกและไม้กระถาง ชนิดที่นิยมปลูกในปัจจุบันคือ ลิลลี่ปากแตร เนื่องจากดอกมีรูปทรงเหมือนแตร ชนิดนี้มีดอกสีขาวมีกลิ่นหอม ในต่างประเทศเรียก Easter lily อีกชนิดหนึ่งเป็นลูกผสมเอเชีย (Asiatic hybrids) มีช่อดอกตั้ง มีดอกหลายสี ชนิดนี้มีดอกไม่หอม อีกชนิดหนึ่งมีดอกหอมมากมีราคาแพงที่สุด คือลูกผสม Oriental hybrids
ในพื้นที่ของโครงการหลวง เช่น ดอยปุย ดอยอ่างขาง และดอยอินทนนท์ พบว่ามีลิลลี่พันธุ์พื้นเมือง หรือเรียกว่าลิลลี่ดอยขึ้นอยู่ในป่า ออกดอกในเดือนสิงหาคมดอกหอมมากโดยเฉพาะในเวลากลางคืนที่มีอากาศหนาวเย็น
ปัจจุบันนี้โครงการหลวงได้ทำการวิจัยขยายพันธุ์ลิลลี่ โดยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อให้เกษตรกรชาวเขาปลูก นอกจากนี้ยังได้ทำการปรับปรุงพันธุ์ลิลลี่ลูกผสมต่างชนิด โดยใช้พ่อแม่พันธุ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศผสมกับลิลลี่ดอยอีกด้วย


สภาพที่เหมาะสมในการผลิต
1. วัสดุปลูก  ลิลลี่ปลูกได้ในดินที่มีการระบายน้ำ และอากาศดี  มีอินทรีย์วัตถุสูง ph 6 - 7   รักษาความชื้นในแปลงโดยการคลุมดิน ด้วยวัสดุคลุมดิน เช่น ฟางข้าว หรือเปลือกถั่ว
2.อุณหภูมิ ช่วงแรกของการเจริญเติบโต ต้องการอุณหภูมิประมาณ  12 - 15 ซ.หากต่ำกว่านี้จะทำให้ยอดเจริญช้าเกินไป  หลังจากนั้นอุณหภูมิที่เหมาะสมในการเจริญเติบโตของลิลลี่ คือ กลางคืน 14 - 16 ซ. และกลางวัน  22 - 25 ซ.
3. ความชื้น ที่เหมาะสมในการเจริญเติบโต ของลิลลี่ คือความชื้น สัมพัทธ์ ร้อยละ  80 - 85 ควรหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงความชื้น แบบกระทันหัน เพราะจะทำให้เกิดใบไหม้ (leaf  scorn) ในพันธุ์ที่อ่อนแอ กับอาการนี้ หารมีการเปลี่ยนแปลงควรค่อยเป็น ค่อยไป จึงควรใช้การพรางแสง  การระบายอากาศ และการให้น้ำ เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลง อันรวดเร็วน
4. แสง ในช่วงอากาศร้อน อุณหภูมิสูง ทำให้คุณภาพดอกต่ำ ในช่วงแดดจัดควร พรางแสงให้ ลิลลี่กลุ่มเอเชียติก และลองจิฟลอรัม ร้อยละ 50   ส่วนกลุ่ม ออเรียนเทิล ร้อบละ 70 การพรางแสง ยังช่วยรักษาความชื้นด้วย


การเก็บเกี่ยวและปฏิบัติหลังเก็บเกี่ยว
ระยะที่เหมาะสมในการตัดดอกลิลลี่ นั้น จะแตกต่างกันแล้วแต่สายพันธุ์ แต่หลักการทั่วไป คือ ควรตัดดอกลิลลี่ ในระยะที่ดอกล่างสุดตูม  เริ่มแสดงสี และพร้อมที่จะบานในวันถัดไป เพื่อความสะดวกในการขนส่ง  หรือสังเกต ระยะก่อนดอกบาน  1  วัน เป็นระยะที่เหมาะสมในการตัดดอก  การตัดดอกเร็วเกินไปทำให้ทำให้ดอกบานช้า สีซีด  จำนวนดอกบานน้อย และคุณภาพต่ำ  ควรตัดช่อ โดยเหลือต้นไว้เหนือดินประมาณ 10-20 ซม.  จากนั้นควรคัดเกรด  ตามจำนวนดอก  ความยาว และความแข็งแรงของก้าน ควรริดใบที่โคนก้านใบประมาณ 10  ซม. เพื่อยืดอายุการปักแจกัน และป้องกันน้ำเสีย  มัดกำ คัดก้าน เนื่องจากดอกลิลลี่เสียหายง่าย หากได้รับแก๊สเอ็ทธิลีน หลังการตัดดอก ควรแช่ในสาร ชิลเวอร์ไธโอซัลเฟส อัตรา  30 ซีซี ต่อน้ำ 1  ลิตร เป็นเวลา 20 นาที จากนั้นจึงย้ายใส่ในน้ำสะอาด ที่ปรับค่า ph เท่ากับ  3.5  เก็บที่อุณหภูมิ 3-5 ซ.ม. หากได้รับการปฏิบัติที่ถูกต้อง จะสามารถเก็บดอก ลิลลี่ ในห้องเย็นเป็นเวลา นานถึง  4  สัปดาห์ แต่ใบอาจเป็นสีเหลือง หรือน้ำตาลแม้ว่าจะเก็บในช่วง สั้นก็ตาม  



ตำนานดอกลิลลี่




เมื่อเฮอร์คิวลิสถือกำเนิด ... เทพซูสก็อยากให้บุตรชายของตนมีพละกำลังแกร่งกล้ายิ่งขึ้น จึงได้นำมาที่เขาโอลิมปัส เพื่อจะได้ดื่มน้ำนมจากอกของมหาเทวีจูโน หรือ เฮร่า ... และเมื่อสบโอกาสตอนที่เฮร่าหลับ ซูส ก็นำเฮอร์คิวลิสมาตรงอกเฮร่าและก็ดูดนม ... แต่ด้วยความที่เฮอร์คิวลิสเป็นกึ่งเทพกึ่งมนุษย์ จึงมีพละกำลังมหาศาลอยู่แล้ว ... จึงดูดนมจากอกเฮร่าแรงไปหน่อย ... เฮร่าก็ตกใจตื่น ... และเหาะขึ้นไปบนฟ้า ...ระหว่างนั้น น้ำนมจากอกก็ไหลออกมาด้วย และไหลเป็นสายยาวตกลงสู่พื้นโลก ... และกลายเป็นดอกลิลลี่สีขาว ในที่สุด ... จากนั้น ดอกลิลลี่จึงได้ถือกำเนิดขึ้นบนโลก

ดอกป๊อบปี้

 ดอกป๊อบปี้



ประวัติศาสตร์กว่าสองร้อยปีของประเทศออสเตรเลียยุคใหม่ ยุคที่คนขาวเข้ายึดดินแดนและแย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างจากชนพื้นเมืองชาวอะบอริจินนั้น จุดเริ่มต้นอยู่ที่การเข้ามาของคนขาวสองกลุ่มใหญ่ในปีคริสต์ศักราช 1788
กลุ่มแรกเป็นกลุ่มที่ถือปืนเข้ามา ส่วนอีกกลุ่มเอาแนวความคิดแบ่งแยกชนชั้นเข้ามา
ถึงแม้ทั้งสองกลุ่มจะมาจากอังกฤษเหมือนกันก็ตาม แต่มีเฉพาะกลุ่มหลังเท่านั้นที่เป็นอังกฤษอย่างแท้จริง อีกกลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มที่รวมคนจากยี่สิบสองเชื้อชาติ ยี่สิบสองสายพันธุ์ ยี่สิบสองวัฒนธรรม และยี่สิบสองแนวความคิด
ประวัติศาสตร์เริ่มต้นเมื่อคนสองกลุ่มนี้ไม่ค่อยถูกกันนัก
ผมนั่งอ่านประวัติศาสตร์ช่วงต้นของประเทศออสเตรเลียยุคใหม่อย่างสนใจยิ่ง แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผมมากที่สุดกลับอยู่ที่ศัพท์คำหนึ่งที่ว่า The Tall Poppy Syndrome
Tall Poppy หมายถึง คนที่โดดเด่นเหนือคนอื่นๆ ในกลุ่ม เนื่องจากประสบความสำเร็จมากกว่า รวยกว่า และมีชื่อเสียงมากกว่า
ศัพท์คำนี้ได้รับการบันทึกครั้งแรกในดิกชันนารีแห่งชาติออสเตรเลียในปี 1902
ประวัติศาสตร์การปลูกดอกป๊อปปี้ได้รับการบันทึกว่า เริ่มต้นครั้งแรกเมื่อห้าพันปีก่อนคริสต์ศักราช ในพื้นที่วงพระจันทร์ที่อุดมสมบูรณ์ของดินแดนเมโสโปเตเมียระหว่างแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส พื้นที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นสวนแห่งอีเดน สวรรค์บนดินซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของความศิวิไลซ์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์
ดอกป๊อปปี้สามารถเติบโตได้เกือบทุกพื้นที่ ดอกป๊อปปี้มีสีแดง ประวัติศาสตร์โลกส่วนหนึ่งบันทึกบทบาทของดอกป๊อปปี้ที่เกี่ยวพันไปถึงสมรภูมิฟลานเดอร์ (Battle fields of Flanders) ในสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งเป็นสมรภูมิระหว่างประเทศเบลเยียมและเนเธอร์แลนด์ ระหว่างทหารฝ่ายพันธมิตรและเยอรมนี
ในครั้งนั้นทหารฝ่ายพันธมิตรได้รับบาดเจ็บและล้มตายเป็นอันมาก ณ ที่นั้น จอมพลเอิร์ล ออฟเฮก ผู้บัญชาการรบที่นั่นได้สังเกตเห็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่แสนมหัศจรรย์เกิดขึ้นที่บริเวณหลุมศพทหาร นั่นคือ มีดอกป๊อปปี้ป่าขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดเป็นลานสีแดงที่สวยงาม
นอกจากนี้ ดอกป๊อปปี้ยังถูกบันทึกไว้ในบทกวีที่ชื่อว่า "In Flanders Fileds" ประพันธ์โดย พันโทจอห์น แม็คแครร์ แพทย์ชาวแคนาดา ที่ว่า

In Flanders Fields
In Flanders fields the poppies blow
Between the crosses, row on row
That mark our place; and in the sky
The larks, still bravely singing, fly
Scarce heard amid
the guns below.
We are the Dead. Short days ago
We lived, felt dawn, saw sunset glow,
Loved and were loved,
and now we lie
In Flanders fields.
Take up our quarrel with the foe:
To you from failing hands we throw
The torch; be yours
to hold it high.
If ye break faith with us who die
We shall not sleep,
though poppies grow
In Flanders fields.

จากนั้นมาดอกป๊อปปี้จึงเป็นดอกไม้สัญลักษณ์แห่งวีรกรรมของเหล่าทหารผ่านศึก ดอกสีแดง หมายถึง สีเลือดของเหล่าทหารหาญที่ได้หลั่งชโลมแผ่นดินไว้ด้วยความกล้าหาญและความเสียสละสูงสุด
นอกจากนี้ ภาพเขียนที่มีชื่อเสียงภาพหนึ่งของโมเนต์ จิตรกรนามอุโฆษ ชื่อภาพว่า "Poppy Fields at Argenteuil" เขียนขึ้นเมื่อปี 1873 โดยได้รับแรงบันดาลใจเมื่อโมเนต์เดินทางไปถึงเมือง Argenteuil เมืองเล็กๆ ที่ล้อมรอบด้วยดอกป๊อปปี้ในวันที่ 2 มกราคม 1872
ดอกป๊อปปี้จะมีก้านยาวและเติบโตขึ้นในแนวดิ่ง และสูงขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อใดก็ตามที่มีดอปป๊อปปี้สูงเด่นเกิน ดอกป๊อปปี้ดอกอื่นๆ สิ่งที่คนออสเตรเลียทำ คือ ตัดมันทิ้งเสีย
Tall poppy ที่สูงเด่นเกินเพื่อนๆ ในสังคมก็จะถูกกำจัดทิ้งไปด้วยเช่นกัน
The Tall Poppy Syndrome จึงหมายถึง วัฒนธรรมทางสังคมของคนออสเตรเลียที่ไม่ต้องการให้ใครเด่นเกินหน้าใคร ถ้าใครเด่นเกินก็จะถูกกำจัดทิ้งไปเสีย
ในปี 1999 รัฐบาลออสเตรเลียนำโดยนายกรัฐมนตรี จอห์น โฮเวิร์ด พยายามที่จะเพิ่มข้อความสำคัญที่ว่า "จะยกย่องความเป็นเลิศ" เข้าไปในรัฐธรรมนูญแห่งชาติออสเตรเลีย และภายหลังได้ให้สัมภาษณ์รายการวิทยุเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า "ปัญหาอย่างหนึ่งของออสเตรเลียคือ วัฒนธรรม Tall Poppy Syndrome และถ้ามีสิ่งหนึ่งที่เราต้องกำจัดให้พ้นไปจากประเทศนี้เสีย คือ เรื่อง Tall Poppy Syndrome นี้เอง"
อย่างไรก็ตาม เมื่อทำประชามติทั่วประเทศข้อความนี้ก็ได้รับการปฏิเสธอย่างแข็งขัน และคนทั่วประเทศต่างก็หัวเราะเยาะความผิดพลาดครั้งนี้ของโฮเวิร์ด
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยกล่าวว่า "ถ้า ทฤษฎีสัมพันธภาพของเขาได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้อง คนเยอรมันจะเรียกเขาว่าเป็นคนเยอรมัน คนสวิตเซอร์แลนด์ก็จะเรียกเขาเป็นคนสวิตเซอร์แลนด์เช่นกัน และคนฝรั่งเศสจะเรียกเขาว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ถ้าทฤษฎีของเขาไม่ถูกต้อง คนฝรั่งเศสจะเรียกเขาว่าเป็นคนสวิส คนสวิสจะเรียกเขาว่าเป็นคนเยอรมัน และคนเยอรมันจะเรียกเขาว่าเป็นยิว"
นักจิตวิทยาสังคมได้พัฒนาทฤษฎีอันหนึ่งที่เรียกว่า Self-categorization Theory ซึ่งพัฒนาโดย Turner, Hogg, Oakes, Reicher และ Wetherell ในปี 1987 เพื่ออธิบายคำกล่าวของไอน์สไตน์ข้างต้น ทฤษฎีนี้กล่าวว่า ผู้คนจะเปลี่ยนจุดยืนความคิดของตนเพื่อให้ตัวเองได้เข้าไปผูกกับเกียรติยศและความสำเร็จ หรือเพื่อให้ห่างไกลจากความผิดพลาด หรือความไม่ดีไม่งามทั้งหลายแหล่
อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีนี้ไม่น่าจะใช้ได้กับสังคมออสเตรเลีย
เราอาจจะกล่าวได้ว่า ความอิจฉาน่าจะเป็นพื้นฐานสนับสนุนวัฒนธรรมนี้
ในปี 1988 ระหว่างงานฉลองวันเกิดครบรอบหนึ่งร้อยปีของนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลชาวออสเตรเลีย เซอร์ โฮเวิร์ด โฟลเรย์ (Sir Howard Florey) สถาบันรัฐศาสตร์แห่งออสเตรเลีย (Australian Institute of Political Science - AIPS) ได้รณรงค์เพื่อสนับสนุนคนที่ประสบความสำเร็จในสังคม ในชื่อโครงการ The Tall Poppy Campaign
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีอะไรประกันว่าโครงการนี้จะประสบความสำเร็จ และสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดที่ฝังแน่นอยู่ในระบบวิธีคิดของชาวออสเตรเลียได้
ที่ไหนๆ ก็เหมือนกัน ไม่มีใครอยากเห็นคนอื่นดีกว่าตัวเองหรอก ภาษิตที่ว่า "ทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน" ยังคงขลังและใช้ได้ในทุกๆ ที่ทั่วโลกจริงๆ


ดอกทิวลิป

   ดอกทิวลิป   



ดอกทิวลิป (Tulip) ดอกไม้เมืองหนาวออกดอกในฤดูใบไม้ผลิ ในปัจจุบันมีการผสมพันธุ์ทิวลิปมากกว่า 100 ชนิน เราจะเห็นทุ่งทิวลิปคุ้นตาตามหนังสือท่องเที่ยว และกลายเป็นสัญลักษณ์ของประเทศฮอลแลนด์ ใครที่เคยไปเยือนประเทศนี้ต้องเคยไปเที่ยวสวนเคอเคนฮอฟ ชานเมืองลิซเซ่ (Lisse) ซึ่งเป็นแหล่งปลูกทิวลิปที่ใหญ่และสำคัญยิ่งของฮอลแลนด์ เมืองลิซเซ่อยู่ห่างจากอัมสเตอร์ดัมเพียง 29 กิโลเมตร
                    ดอกทิวลิป มีต้นกำเนิดที่ประเทศตุรกี เป็นดอกไม้ป่า ที่ขึ้นเองในธรรมชาติ สมัยโบราณเจ้าหน้าที่ตุรกีได้นำดอกทิวลิป มามอบให้กับทูตเวียนนา เพื่อไปปลูกยังประเทศออสเตรีย แต่มีคนสวนชาวฮอลแลนด์นำกลับมาปลูก และเพาะพันธุ์ และผสมพันธุ์ใหม่จนเกิดเป็นหลากหลายสี และหลายพันธุ์ การผสมพันธุ์ ดอกไม้ที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาตินั้น จึงขัดต่อหลักศาสนา และถูกห้าม จึงทำให้หัวทิวลิปนั้นมีราคาแพง คนรวยในสังคมชั้นสูงจึงจะมีเงินซื้อมาปลูก และมีราคาแพงมากจนถูกห้ามปลูก ในอังกฤษ จากนั้นการเพาะพันธุ์ทิวลิป ได้รับการยอมรับและรัฐบาลสนับสนุน และเป็นสินค้าส่งออกทีสำคัญอย่างหนึ่งของ เนเธอร์แลนด์ ทิวลิปมากกว่าครึ่ง ส่งไปจำหน่ายท ี่อเมริกา
มีความหมายถึงการตกหลุมรักหัวปักหัวปำ ความรักที่ฉาบฉวยและจึดจางอย่างรวดเร็ว
ทิวลิปสีแดง "อยากให้โลกรู้ว่าฉันรักเธอ"
สีเหลือง มีหางเสียงเศร้าๆ ว่า "ฉันหมดหวังในรักเธอแล้วหรือไร"
ทิวลิปหลากสีในช่อเดียวกันหมายความว่า "ดวงตาแสนสวยของเธอทำให้ฉันคลั่งไคล้"



ทิวลิปดอกแรกที่ปรากฏอยู่ในตำนานนั้น ได้แก่ ดอกทิวลิปสีแดงสด ซึ่งชนชาวเปอร์เซียนโบราณเชื่อกันว่า เป็นสัญลักษณ์ของหยดเลือดและความรักอันจิรังกาล ที่พบอยู่เสมอในบทกวี บทเพลงพื้นบ้าน หรือในภาพเขียนลายเส้น หรือภาพสีน้ำมันของชาวเปอร์เซียนในยุคโบราณ ราชอาณาจักรตุรกียุคโบราณ (Ottoman Empire) ก็เคยใช้ดอกทิวลิปสีแดง เป็นสัญลักษณ์มาก่อนเช่นเดียวกัน ต่อมาความเชื่อนี้จึงค่อยแพร่ขยายเข้าไปสู่ในยุโรป แม้ในจักรวรรดิ์โรมัน ก็มีการใช้ดอกทิวลิปเป็นสัญลักษณ์ ขององค์จักรพรรดิหลายพระองค์อีกด้วย
ประวัติและตำนานของดอกทิวลิปนั้นจึงมีอยู่มากมาย เพราะก่อนที่ทิวลิปจะเข้ามาสู่ในโลกของพฤกษศาสตร์ ชนหลายชาติก็เคยรู้จัก และเคยปลูกทิวลิปด้วยกันมาก่อนแล้วทั้งนั้น ใน Encyclopedia จึงอ้างว่า มนุษย์เรียกชื่อของทิวลิปแตกกันอยู่นั้นมีมากกว่า 4,000 ชื่อ แต่สำหรับทิวลิปพันธุ์ที่เรียกกันว่า “ทิวลิปา กีสนีเรียนา” นี้ ได้เริ่มเป็นที่รู้จักกันในยุโรปเมื่อ อาจารย์คอนแรดเกสเนอร์ (Conrad Gesner) นักพฤกษาวิทยาแห่งสวนพฤกษศาสตร์
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้เขียนเรื่องและรูปของทิวลิปพันธุ์นี้พิมพ์เผยแพร่ขึ้นในปีพ.ศ.2104 โดยที่พระอาจารย์เกสเนอร์
ใช้แผ่นทองแดงเป็นแม่พิมพ์ ครั้นต่อมาภายหลังพระอาจารย์ลินเนียส ก็ได้นำทิวลิปนี้ไปขึ้นทำเนียบไว้ในหนังสือ Systema Naturae ของท่านในพ.ศ. 2280 ทิวลิปต้นนี้ จึงได้นามว่าเป็นทิวลิปา กีสนีเรียนา มาตั้งแต่ในพุทธศกนั้น

ดอกคาเนชั่น

ดอกคาเนชั่น


คาร์เนชั่นเป็นไม้ตัดดอกยอดนิยมชนิดหนึ่ง มีทั้งชนิดดอกเดี่ยว แบบสแตนดาร์ด
และดอกช่อ แบบสเปรย์ มีหลายพันธุ์ ดอกหลากสี ทั้งสีขาว สีเหลือง สีชมพู สีส้ม
สีแดง และม่วง บางพันธุ์ก็มีสีมากกว่าหนึ่งสีในดอกเดียวกัน และบางพันธุ์ยังมี
กลิ่น
หอมอีกด้วย ถึงแม้คาร์เนชั่นจะมีกลีบดอกแบบบางแต่บานทน สามารถปลูกเป็น
ไม้ตัดดอกได้ดีในที่ที่มีอากาศหนาวเย็น ได้ดอกตลอดปี และเป็นดอกที่มีคุณภาพดี


ดอกคาร์เนชั่น (Carnation) เป็นดอกไม้แห่งการเฉลิมฉลอง ตามตำนานของกรีก-โรมัน นิยมใช้ดอกคาร์เนชั่นในงานที่มีความรื่นเริงยินดี แต่ต่อมาสัญลักษณ์ของคาร์เนชั่นได้แปรเปลี่ยนไปตามสีสันต่างๆ
- คาร์เนชั่นสีขาว (White Carnation) เป็นสัญลักษณ์ของความชื่นชมยินดี นิยมใช้ดอกคาร์เนชั่นสีขาวมอบให้ในวาระโอกาสแห่งการแสดงความยินดีต่างๆ (ได้ดอกไม้มอบวันรับปริญญาอีกหนึ่งล่ะ)
- คาร์เนชั่นสีเหลือง (Yellow Carnation) เป็นสัญลักษณ์ของความเหยียดหยาม ถ้ามอบคาร์เนชั่นสีเหลืองให้แก่ผู้ใด แสดงว่าผู้ให้รู้สึกดูหมิ่นดูแคลนผู้รับเป็นอย่างมาก
- คาร์เนชั่นสีแดง (Red Carnation) เป็นสัญลักษณ์ของหัวใจที่แตกสลาย ถ้าได้รับดอกคาร์เนชั่นสีแดงจากผู้ใด แสดงว่าผู้ให้ต้องการบอกว่าถูกผู้รับหักอกจนใจสลายแล้ว
- คาร์เนชั่นลาย เป็นสัญลักษณ์ของคำปฏิเสธ ถ้าถูกใครขอความรัก และอยากตอบปฏิเสธก็จงมอบดอกคาร์เนชั่นลายให้แก่ผู้นั้น
- คาร์เนชั่นสีชมพู (Pink Carnation) ดอกคาร์เนชั่นสีชมพูเป็นสัญลักษณ์ของหัวใจรัก ถ้าต้องการสารภาพรักใครก็ควรมอบดอกคาร์เนชั่นสีชมพูให้แก่ใครคนนั้น (ตำราใหม่ แปลว่า "ความรักของผู้หญิง")



ข้อมูลของอันนี้หายากนิดนึงนะคะ ถ้าไปเจอจะเอามาลงให้อีกค่ะตอนนี้ลงรูปสวยๆไว้ให้แล้วกันนะคะ ^^